เหตุการณ์นี้ผมจำได้ไม่มีวันลืมเลยล่ะครับ ช่วงนั้นประมาณปี 2556 ผมออกตระเวนงานรับเหมาก่อสร้างทั่วทั้งอีสานเลยครับ บอกก่อนว่าผมเป็นคนอุดรมาตั้งแต่เกิด แต่แทบไม่ได้อยู่ติดบ้านเลย ตอนนั้นมีคนงานอยู่แค่ 2 คน ทำเองกันหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ตัดไม้ เชื่อมเหล็ก ฉาบปูน ทาสี มุงหลังคา อยู่กลางแดดกลางลมวันละไม่ต่ำกว่า 9 ชั่วโมง ไหนจะสารเคมีจากสี ทินเนอร์เคลือบ เศษเลื่อยไม้ อุปกรณ์ป้องกันอะไรก็ไม่มี จนในที่สุดสายตาผมก็สู้ไม่ไหวอีกแล้ว
ผมเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็นของตัวเอง อาการมันค่อยๆ มาทีละส่วนครับ เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าลืมตาตื่นขึ้นมาจะมีขี้ตาเยอะมาก บางครั้งตาแฉะจนลืมตาไม่ขึ้นก็มี ยิ่งเวลาออกไปทำงานกลางแจ้งยิ่งรู้สึกแสบตามากเหมือนว่าตาสู้แสงไม่ได้ แทบจะหลับตาทำงานเลยครับ บางทีแสบมากจนน้ำตาไหลบ้าง ตาแดงบ้าง เป็นมาหมดละครับ แต่ที่แย่ที่สุดเลย คือ ช่วงตกเย็นหลังเลิกงานผมจะรู้สึกตามัวๆ เห็นภาพซ้อน มองอะไรไม่ค่อยชัดตลอด ตอนกลางคืนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ทัศนวิสัยกลายเป็นศูนย์ทันที ขับรถตอนกลางคืนไม่ได้ เหมือนมองอะไรไม่เห็นอีกเลย
แรกๆ มันก็พอทนได้ครับ หยอดตาบ้าง สวมแว่นบ้าง หรือซื้อสมุนไพรมาต้มกินเองก็ลองมาแล้ว จนผมตัดสินใจไปหาหมอ รู้ไหมครับคุณหมอว่าอย่างไร? หมอวินิจฉัยว่า ผมป่วยเป็นต้อกระจก แม้จะเป็นในระยะเริ่มต้นแต่สภาพดวงตาของผมแย่มาก เส้นประสาทตาถูกทำลายไปเกือบหมด ทำให้ตอนนี้จอประสาทเสื่อมลงอย่างรวดเร็วจนเป็นที่มาของอาการตาพร่าตามัวทั้งหลายที่เกิดขึ้นครับ
หมอบอกอีกว่าถ้าปล่อยไว้นานๆ การมองเห็นจะยิ่งแย่ลงและเสี่ยงตาบอดได้ในอนาคต โดยเน้นย้ำให้ผมสวมแว่นกันแดดและงดกิจกรรมกลางแจ้งแบบเด็ดขาด แต่ผมจะทำได้อย่างไรล่ะครับ? ถ้าหยุดแล้วคนในครอบครัวของผมจะอยู่ยังไง? งานที่ผมทำมันหยุดไม่ได้ ผมเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ยังต้องส่งลูกสาวคนเล็กเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ ยังต้องหาเงินเข้าบ้านดูแลภรรยาที่ป่วยเรื้อรัง ผมทำได้แค่รับยาจากหมอมากินและหมั่นไปให้ตรงตามนัดเท่านั้นแหละครับ
จุดเริ่มต้นของความทรมาน
คุณพ่อผู้เสียสละ